ลักษณะของงาน
1. ตรวจร่างกาย วินิจฉัยอาการทางจิต สั่งยา รักษาอาการผิดปกติของผู้ป่วย โดยการใช้เครื่องมือทดสอบที่เป็นมาตรฐาน ร่วมกับการสังเกตพฤติกรรม การสัมภาษณ์ วิเคราะห์ และแปลผลการทดสอบ 2. ตรวจผู้ป่วยและตรวจหรือสั่งตรวจทางเอ็กซเรย์ หรือการทดสอบ พิเศษ ถ้าต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม 3. พิจารณาผลการตรวจและผลการทดสอบ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางหรือแพทย์อื่นตามความ จำเป็น และวินิจฉัยความผิดปกติ 4. บำบัดรักษาอาการความผิดปกติทางจิตโดยสั่งยา หรือการรักษาอย่างอื่น และแนะนำผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยในเรื่องการปฏิบัติตนที่จำเป็นสำหรับรักษาตนให้พ้นจากการป่วยไข้ 5. เก็บรักษาบันทึกเกี่ยวกับผู้ป่วยที่ได้ตรวจโรคที่เป็นและการรักษาที่ได้ให้หรือสั่ง 6. อาจรับผิดชอบและสั่งงานสำหรับพยาบาลในโรงพยาบาลหรือสถาบันอื่น จิตแพทย์เรียนอะไรกันบ้าง
เรียนเหมือนหมอทั่วไป ตั้งแต่การซักประวัติ ตรวจร่างกาย(และการตรวจสภาพจิต) เรียนเกี่ยวกับโรคต่างๆ ตั้งแต่ กลไกการเกิดโรค พยาธิสภาพการเกิดโรค สาเหตุการเกิดโรค การดำเนินโรค การรักษาโรค การป้องกันการเกิดโรค แต่ลงลึกในโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติในเชิงอารมณ์ ความคิด การรับรู้ พฤติกรรม ความสัมพันธ์ (ที่หลายคนคิดว่าเป็นเพียงแค่นิสัยไม่ดี สันดานไม่ดี อารมณ์ไม่ดี แค่นั้น ) อาจจะต่างกับแพทย์สาขาอื่นตรงที่การตรวจสภาพจิตนี่แหละ ที่แพทย์สาขาอื่นรักษาโรคที่ตรวจเจอแบบเห็นกันจะๆ ขาหัก เป็นหนอง ตับแตก สิวขึ้น ท้อง เป็นต้น แต่จิตแพทย์รักษาแผลอีกแบบหนึ่ง แต่เป็นแผลชนิดที่มองไม่เห็น ( Invisible wound ) แทน ดังนั้นทักษะที่ต้องเพิ่มพูนอย่างมากในการเรียนคือ ทักษะการฟัง การตั้งคำถาม การแปลความจากสิ่งที่เห็น ความช่างสังเกต การ ใส่ใจกับคนตรงหน้า เพื่อให้เกิดความเข้าใจโลกภายใน แผลสด/แผลเป็นที่ซ่อนอยู่ภายในตัวผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด การรักษานอกจากการเรียนเรื่องยาที่ส่วนใหญ่มีผลออกฤทธิ์ต่อสารสื่อประสาทในสมองแล้ว ยังต้องเรียนเรื่องการทำจิตบำบัด ซึ่งมีหลากหลายแนวมาก แต่ละแบบก็เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน นอกจากรู้หลักการแล้ว วิธีการเรียนก็ต้องเอาตัวเข้าแลก ต้องใช้ประสบการณ์ของตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยน เข้าใจ เรียนรู้ พัฒนากระบวนการทางจิตใจ (ซึ่งนี่ก็เป็นข้อดีของการเรียนจิตเวช คือ เราสามารถดูแล รักษา พัฒนาตัวเองได้ไปพร้อมๆกัน) “ จิตแพทย์ก็คือ หมอธรรมดาๆ นี่แหละ เพราะฉะนั้นอย่ากลัว อย่าอาย ที่จะไปหาจิตแพทย์ ทุกคนมีจิตใจ บางครั้งจิตใจของคุณก็ไม่สบายเป็นนะคะ ” รายได้ขั้นต่ำของอาชีพต่อเดือน:เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชน อยู่ในช่วง 120,000 – 300,000 บาท
จิตวิทยาต่างจากจิตแพทย์ ยังไง
Q : จิตแพทย์เรียนอะไรบ้างA: เรียนจบแพทย์ 6 ปีแล้ว ก็ต้องไปทำงานต่างจังหวัด 3 ปี ก่อนจะมาเรียนต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง ถ้าเทียบกับแขนงอื่นๆ ผู้ที่จบแพทย์ทั่วไปจะอยู่ในระดับปริญญาโท ระหว่างนี้เราเรียกว่าเป็นแพทย์ทั่วไป คือสามารถรักษาได้ทุกโรค ผ่าตัดได้ในบางกรณี โรคทางจิตเวช เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า ก็รักษาได้ แต่หากซับซ้อนหรือจำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลก็จะส่งให้จิตแพทย์รักษาต่อ
กรณีของจิตแพทย์ถือเป็นแพทย์สาขาขาดแคลน ดังนั้นหลังจากเรียนแพทย์จบ 6 ปีแล้ว หากใครสนใจก็มาเรียนต่อได้เลยโดยไม่ต้องไปทำงานก่อน การเรียนต่อเป็นจิตแพทย์ทั่วไปใช้เวลา 3 ปี (รักษาผู้ใหญ่) ถ้าเป็นจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นใช้เวลาเรียน 4 ปี โดยสมัครเรียนที่ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยต่างๆ และที่สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา หรือรพ.พระมงกุฎเกล้า ที่ๆ หนึ่งจะรับจิตแพทย์ประมาณ 2-6 คน ตามแต่ว่าแต่ละสถาบันมีอาจารย์จิตแพทย์มากหรือน้อย โดยรวมปีๆ หนึ่งมีแพทย์ที่เรียนต่อเป็นจิตแพทย์ทั่วไปประมาณ 25-30 คน จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นประมาณ 12 คน ระหว่างนี้เราเรียกว่าเป็นแพทย์ประจำบ้านจิตเวชศาสตร์ (resident in psychiatry) ที่บอกว่าเรียนนั้น ไม่ได้เป็นการเล็กเชอร์หรือเรียนในห้องเรียนอย่างเดียวเหมือนกับการเรียนปริญญาโท เอก แต่จริงๆ แล้วเป็นแบบการฝึกงานมากกว่า คือต้องดูคนไข้ทุกวัน ทั้งคนไข้ในและคนไข้นอก ร่วมกับอยู่เวรนอกเวลาราชการ นำประวัติคนไข้มาปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำ นำกรณีคนไข้เข้าที่ประชุมเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน ปี 1 จะเรียนจิตเวชศาสตร์พื้นฐานทั่วๆ ไป เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆ ทางจิตวิทยา และความผิดปกติทางจิต เรียนเรื่องโรคทางจิตเวช และการรักษา ปี 2 จะเน้นการดูแลผู้ป่วยโรคทางร่างกาย เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ ถูกไฟไหม้ ไตวาย มะเร็ง ที่มีปัญหาทางจิตใจ เช่นซึมเศร้า สับสน การเรียนรู้กรณีผู้ป่วยทางประสาทวิทยาเช่นโรคหลอดเลือดสมอง โรคลมชัก ฯลฯ และดูแลผู้ป่วยเด็กทีมีปัญหาทางจิตใจ ปี 3 ก็จะเป็นการเรียนลงลึกมากขึ้นเช่น ผู้ติดยาเสพติด ผู้มีปัญหาสมองเสื่อม นิติจิตเวช จิตเวชชุมชน การส่งเสริมสุขภาพจิต การทำจิตบำบัดแนวลึก จิตเวชในโรงพยาบาลเฉพาะทางจิตเวช จิตเวชทหาร การวิจัยทางจิตเวช ฯลฯ ในแต่ละปีก็มีการสอบถ้าไม่ผ่านก็ต้องซ้ำอีก 1 ปี พอเรียนจบ 3 ปีแล้ว ประมาณต้นเดือนมิถุนายนก็จะมีการสอบใหญ่รวมทุกสถาบันโดย ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ใช้เวลาสอบประมาณ 7 วัน การสอบจะเป็นการสอบข้อเขียนและสอบปฏิบัติคืออาจารย์จิตแพทย์จะสังเกตการสัมภาษณ์ผู้ป่วยและให้แพทย์อภิปรายกรณีผู้ป่วยและการรักษา ถ้าสอบไม่ผ่านอีก 6 เดือนก็ต้องสอบใหม่ หรือสอบใหม่ปีหน้า ถ้าสอบผ่านทั้งหมดแล้วก็จะได้รับวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาจิตเวชศาสตร์ จากแพทยสภา ซึ่งเราเรียกสั้นๆ ว่าเขาเป็น จิตแพทย์ อีกวิธีหนึ่งในการเป็นจิตแพทย์เป็นการศึกษานอกระบบการฝึกอบรม กล่าวคือหลังจากจบแพทยศาสตร์บัณฑิตแล้ว ก็ทำงานในโรงพยาบาลจิตเวช หรือโรงพยาบาลทั่วไปที่มีการบริการตรวจผู้ป่วยนอกจิตเวช และ มีการบริการผู้ป่วยในจิตเวช หรือมีการให้คำปรึกษาผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตเวชในแผนกอื่น โดยได้รักษาผู้ป่วยนอกจิตเวชไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 30 ราย และดูคนไข้ในด้านจิตเวชไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15 คน ทำอย่างนี้จนครบ 5 ปีแล้วก็มาสอบพร้อมกับแพทย์คนอื่นที่ผ่านการฝึกอบรม สอบผ่านแล้วจะได้เป็นหนังสืออนุมัติฯ ซึ่งเราก็เรียกจิตแพทย์เหมือนกันเพราะเขามีคุณสมบัติครบทั้งทางประสบการณ์และความรู้ ปัจจุบันเราสามารถดูรายชื่อผู้ที่เป็นจิตแพทย์โดยดูจากหน้า http://www.tmc.or.th/service_check.php ของแพทยสภานะคะ ขอขอบคุณแพทยสภาที่ทำให้การแพทย์เป็นระบบมากขึ้น |
วิดีโอแนะนำอาชีพ |